Keyword Research คืออะไร : การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ในการ ทำ SEO

Keyword Research คืออะไร

keyword research คืออะไร

Keyword Research คือกระบวนการศึกษาและวิเคราะห์คำค้นหาที่ผู้ค้นหาใช้บ่อยๆ ในเครื่องมือค้นหา เพื่อหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีความนิยมในตลาด การวิเคราะห์คำค้นหาเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและใช้ข้อมูลนี้ในการสร้างเนื้อหาและกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและความสำเร็จของเว็บไซต์ การวิเคราะห์คำค้นหาเป็นขั้นตอนสำคัญในการเติบโตและความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์

การวิจัยคำหลักเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในการวิเคราะห์คำหลักที่เหมาะสม โดยเครื่องมือในการวิจัยคำหลักสามารถช่วยในการหาคำหลักที่เหมาะสมได้เช่น Google Keyword Planner, SEMrush, Ahrefs, หรือ Ubersuggest ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักทำ SEO นิยมใช้งานอย่างแพร่หลาย

ความสำคัญของ Keyword Research

  1. เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้าได้
  2. การพิจารณาความนิยมและแนวโน้ม: การวิเคราะห์คำค้นหาช่วยให้เราเข้าใจแนวโน้มและความนิยมของคำค้นหาในตลาด ซึ่งช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้เป็นไปตามแนวโน้มได้
  3. การแข่งขันในตลาด: ค้นหาคำค้นหาที่แข่งขันสูงช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงและโอกาสในตลาด และสามารถวางกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในตลาด
  4. การติดอันดับในเครื่องมือค้นหา: ค้นหาคำค้นหาที่เหมาะสมช่วยให้เราสามารถสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในเครื่องมือค้นหา
  5. ความสอดคล้องกับเนื้อหา: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เราสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และช่วยเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นๆ
  6. การตลาดที่มีประสิทธิภาพ: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์การตลาดให้เป็นไปตามตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดขายและความสำเร็จของธุรกิจ
  7. การติดอันดับในผลการค้นหา: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เราสามารถเติม SEO ให้กับเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับความต้องการของเครื่องมือค้นหาและสามารถติดอันดับใน

การทำความเข้าใจ Keyword

การทำความเข้าใจ Keyword เป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย Keyword เพราะเป็นการหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในการสร้างเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่บนหน้าแรกของเครื่องมือค้นหาได้ โดยการทำความเข้าใจคำหลักนั้น จะต้องดูว่าผู้ใช้งานค้นหาคำหรือวลีอะไรบ้าง และคำหรือวลีนั้นมีความสำคัญอย่างไร โดยการใช้เครื่องมือการวิจัยคำหลัก เช่น Google’s Keyword Planner จะช่วยให้การทำความเข้าใจคำหลักมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กระบวนการวิจัย Keyword Research

การวิจัยKeyword เป็นกระบวนการที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการทำ SEO ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้ทำ SEO เข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้งานเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขาย และยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์

การวิเคราะห์ Keyword

การวิเคราะห์ Keyword เป็นกระบวนการที่ใช้สำหรับหาคำหลักที่เหมาะสมกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยการวิเคราะห์คำหลักจะต้องพิจารณาจากความสำคัญของคำ จำนวนการค้นหาของคำ ความแข็งแกร่งของคำ และความสอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์

การเลือก Keyword

การเลือก Keyword เป็นกระบวนการที่สำคัญในการทำ SEO เนื่องจากการเลือก Keyword ที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ

การเลือก Keyword จะต้องพิจารณาจากความสอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ จำนวนการค้นหาของคำ และค่าต่างๆของ Keyword โดยคำหลักที่เลือกจะต้องสอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ และมีจำนวนการค้นหามากๆ โดยคำหลักที่เลือกจะต้องมีค่าต่างๆสูงๆ และสามารถแข่งขันกับคำหลักที่ใช้โดยเว็บไซต์อื่นๆ ได้

เครื่องมือในการวิจัย Keyword

การวิจัย Keyword เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับนักการตลาดที่ต้องการเพิ่มยอดขายผ่านเว็บไซต์ของตนเอง โดยเครื่องมือต่างๆในการวิจัยคำหลักจะช่วยให้นักการตลาดสามารถค้นหา Keyword ที่เหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่องมือ Keyword Research ออนไลน์

เครื่องมือ Keyword Research ออนไลน์เป็นเครื่องมือที่ใช้งานผ่านเว็บไซต์ และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต นักการตลาดสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อหาคำหลักที่เหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการค้นหาคำค้นหลักที่มีความนิยมในขณะนั้น เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest, SEMrush, Ahrefs, และ Keyword Tool เป็นต้น

Google-keyword-planner
Google Keyword Planner
Ubersuggest
Ubersuggest

วิธีการประยุกต์ใช้ Keyword ในรูปแบบต่างๆ

การวิจัย Keyword เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงการทำ SEO ให้ดีขึ้น โดยมีวิธีการประยุกต์ใช้งานอย่างหลากหลาย ดังนี้

การค้นหา Keyword ที่เหมาะสม

เพื่อให้การวิจัยคำหลักมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ใช้งานควรค้นหาคำหลักที่เหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ โดยการใช้เครื่องมือ Keyword Planner จะช่วยให้สามารถประมวลผลคำหลักที่เหมาะสมและมีปริมาณค้นหาสูงได้ง่ายขึ้น

การวิเคราะห์ Keyword

หลังจากได้รับคำหลักที่เหมาะสมแล้ว ผู้ใช้งานต้องทำการวิเคราะห์คำหลักเพื่อตรวจสอบความสำคัญและความเหมาะสมของคำหลัก โดยการใช้เครื่องมือ Google Trends จะช่วยให้สามารถดูแนวโน้มการค้นหาคำหลักได้ง่ายขึ้น

Metrics ที่ใช้วิเคราะห์ Keyword

  1. Search Volume หมายถึงปริมาณการค้นหาคำหรือวลีในเครื่องมือค้นหา เช่น ตัวอย่างเช่น Google Keyword Planner หรือเครื่องมือค้นหาคำในอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่ผู้ค้นหาคำหรือวลีนั้นๆ ได้ใช้ในการค้นหาบนเครื่องมือค้นหานั้น ๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น คำหรือวลีที่มี Search Volume สูงแสดงถึงความนิยมและความเป็นที่ต้องการของคำหรือวลีนั้น ๆ ในการค้นหา การใช้ Search Volume เป็นข้อมูลที่สำคัญในกระบวนการ Keyword Research เพื่อตัดสินใจในการเลือกใช้คำหรือวลีที่จะนำเสนอในเว็บไซต์หรือบล็อกของเรา เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานและเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดการค้นหาและการเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น
  2. Cost Per Click (CPC) คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อครั้งที่มีการคลิกโฆษณาหรือลิงก์บนเว็บไซต์ โดยส่วนใหญ่ใช้เกี่ยวข้องกับโฆษณาที่เป็นรูปแบบ Pay-Per-Click (PPC) ซึ่งหมายความว่าค่าใช้จ่ายจะถูกเรียกเก็บเมื่อมีผู้คลิกโฆษณาหรือลิงก์นั้น ๆ เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์หรือหน้าที่โฆษณานั้น ๆ เมื่อผู้ลงโฆษณากำหนดราคา CPC ในแพลตฟอร์มการโฆษณา เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads ระบบจะใช้ค่า CPC เป็นตัวกำหนดค่าใช้จ่ายที่จะเรียกเก็บจากผู้ลงโฆษณา เมื่อมีผู้คลิกโฆษณานั้น ๆ โดยปริมาณ CPC อาจแตกต่างกันไปตามคำหรือวลีที่เป้าหมาย ระดับความแข็งแกร่งของคู่แข่ง รวมถึงความนิยมของคำหรือวลีนั้น ๆ ในการค้นหาหรือการใช้งานของผู้ใช้งาน การใช้ CPC เป็นรูปแบบของการโฆษณาที่ให้ผู้ลงโฆษณามีควบคู่กับปริมาณการคลิกที่เกิดขึ้นจริง ๆ บนโฆษณาของพวกเขา โดยความสำคัญของ CPC คือช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายโฆษณาได้ดีและวางแผนกลยุทธ์การโฆษณาให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่
  3. Keyword Difficulty หมายถึงระดับความยากในการแข่งขันในการค้นหาและอันดับในผลการค้นหาของคำหรือวลีบนเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, หรือ Yahoo ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าคำหรือวลีนั้นมีความยากที่จะติดอันดับในผลการค้นหาหรือไม่
    ความยากของ Keyword จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณคำค้นหา (Search Volume) คือจำนวนครั้งที่คำหรือวลีนั้นถูกค้นหาบนเครื่องมือค้นหา ระดับความแข็งแกร่งของคู่แข่งที่ใช้ คำหรือวลีเดียวกันในการโฆษณาหรือเนื้อหา เช่น จำนวนเว็บไซต์ที่มีคำหรือวลีนั้นแสดงผลในผลการค้นหา เนื้อหาคุณภาพที่ใช้คำหรือวลีนั้นในเว็บไซต์ เป็นต้น
    คำที่มี Keyword Difficulty สูงอาจจะเป็นคำที่มีปริมาณคำค้นหาสูง แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของคู่แข่งในการค้นหามาก ทำให้คำนั้นค่อนข้างยากที่จะติดอันดับในผลการค้นหา ในทางกลับกัน Keyword Difficulty ที่ต่ำก็หมายถึงคำหรือวลีที่ค่อนข้างง่ายในการติดอันดับในผลการค้นหา และมีโอกาสในการแสดงผลในหน้าแรกของเครื่องมือค้นหาในเวลาที่สั้น ๆ
  4. Search Result หมายถึงผลลัพธ์ที่แสดงในหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, Yahoo หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ตามคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานใส่เข้ามาในช่องค้นหาของเครื่องมือค้นหานั้น ๆ
    ผลการค้นหา (Search Result) จะประกอบด้วยเว็บไซต์หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำหรือวลีที่ถูกค้นหา ซึ่งเครื่องมือค้นหาจะแสดงผลการค้นหาเป็นลิสต์หรือหน้าเว็บที่แสดงเรื่องที่เกี่ยวข้องที่สุดตามคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหา
    ผลการค้นหา (Search Result) จะเรียงลำดับตามความสอดคล้องกับการค้นหาของผู้ใช้งานโดยให้เนื้อหาหรือเว็บไซต์ที่มีความสอดคล้องสูงสุดแสดงอยู่บนหน้าแรกหรืออยู่ใกล้ตำแหน่งด้านบนของหน้าผลการค้นหา โดยเครื่องมือค้นหาจะใช้อัลกอริทึมหรือวิธีการที่ซับซ้อนในการตรวจสอบเนื้อหาและเว็บไซต์เพื่อกำหนดลำดับในผลการค้นหานั้น ๆ ที่เหมาะสมกับคำหรือวลีที่ถูกค้นหา

การจัดลำดับ Keyword

หลังจากได้รับคำหลักที่เหมาะสมและมีความสำคัญ ผู้ใช้งานต้องทำการจัดลำดับคำหลักตามความสำคัญ โดยการใช้เครื่องมือ Keyword Difficulty Tool จะช่วยให้สามารถตรวจสอบความยากง่ายของการจัดอันดับคำหลักได้ง่ายขึ้น

การวิจัยคำหลักเป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับการทำ SEO และสามารถประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลาย โดยผู้ใช้งานควรใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยให้การวิจัยคำหลักมีประสิทธิภาพสูงสุด

Keyword มีกี่ประเภท

  1. Short Tail Keywords: เป็นคำหรือวลีที่มีความยาวสั้นและมักถูกใช้เป็นการค้นหาที่เป็นลักษณะกว้าง ๆ เช่น “ร้านกาแฟ” หรือ “โรงเรียน”
  2. Long Tail Keywords: เป็นคำหรือวลีที่มีความยาวมากขึ้นและมักถูกใช้เพื่อค้นหาที่มีความตั้งใจในเรื่องที่กำหนดมากขึ้น เช่น “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” หรือ “โรงเรียนที่มีคณะกรรมการและโครงการศึกษาสำหรับเด็ก”
  3. Branded Keywords: เป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับชื่อแบรนด์หรือสินค้าเฉพาะที่เป็นของบริษัทหรือธุรกิจเฉพาะ เช่น “Apple iPhone” หรือ “Nike shoes”
  4. Product Keywords: เป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ผู้คนกำลังมองหาเพื่อการซื้อขาย เช่น “ราคา iPhone 13” หรือ “ร้านขายรองเท้า”
  5. Service Keywords: เป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับบริการที่ผู้คนกำลังมองหาเพื่อการให้บริการ เช่น “ทำเว็บไซต์ร้านค้า” หรือ “รับทำ SEO”
  6. Location Keywords: เป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับสถานที่หรือพื้นที่เฉพาะ เช่น “ร้านกาแฟในพัทยา” หรือ “โรงเรียนใกล้เคียง”
  7. Action Keywords: เป็นคำหรือวลีที่มีความตั้งใจในการกระทำหรือการเข้าชมเนื้อหาที่เซิร์ช เช่น “อ่าน” หรือ “ดูวิดีโอ”

Long tail Keyword คืออะไร

Long tail keyword คือคำค้นหาที่มีความยาวและมีความสัมพันธ์กับคำค้นหาหลักหรือคำค้นหาที่มีความนิยมมากขึ้น (head keyword) โดยลักษณะของ long tail keyword คือมีจำนวนคำมากกว่าและมีความสัมพันธ์กับความต้องการของผู้ค้นหาที่แนะนำให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เราต้องการเผยแพร่ในเว็บไซต์หรือบล็อกของเรา การใช้ long tail keyword มักเป็นทางเลือกที่ดีในการเน้นเนื้อหาที่มีความเฉพาะเจาะจงและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเข้าถึง และช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดการค้นหาและการเข้าชมเว็บไซต์ของเราเพิ่มขึ้น

Niche Keywords คืออะไร

Niche Keywords คือคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายหรือตลาดที่เฉพาะเจาะจงและมีขนาดเล็กกว่าคำหลัก (main keywords) หรือคำที่มีความกว้างขวางมากขึ้น โดย Niche Keywords มักถูกใช้เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เน้นความพิเศษหรือความสนใจเฉพาะ เช่น กลุ่มผู้คนที่มีความสนใจในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงนก กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในการออกกำลังกายเช่นการเล่นฟุตบอลหรือการออกกำลังกายแบบเฉพาะๆ

Niche Keywords มีความสำคัญในการทำ SEO เนื่องจากช่วยเสริมสร้างการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการเฉพาะ และเมื่อเนื้อหาในเว็บไซต์มีความสอดคล้องกับ Niche Keywords จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในผลการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นให้เกิดขึ้น ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสในการดึงผู้เข้าชมที่เป็นครอบครัว และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเดียวกัน

Seed keyword คืออะไร

Seed keyword คือคำหรือวลีที่เป็นต้นแบบหรือฐานในการค้นหาและใช้เป็นพื้นฐานในกระบวนการทำ Keyword Research คำนี้จะเป็นคำหลักหรือคำที่มีความกว้างของความหมาย และมีความสำคัญในหมวดหมู่หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกัน

Seed keyword มักถูกนำมาใช้เพื่อสร้างรายการคำหลักอื่น ๆ ในขั้นตอนของ Keyword Research และการพัฒนาเนื้อหา โดยจะนำคำนี้ไปค้นหาในเครื่องมือ Keyword Research เพื่อหาคำหลักหรือคำย่อย (long tail keywords) ที่เกี่ยวข้องและมีความนิยมในการค้นหา

ตัวอย่างของ Seed keyword คือ “ท่องเที่ยว”, “สุขภาพ”, “เสื้อผ้า”, “อาหาร” เป็นต้น คำเหล่านี้เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับหมวดหมู่หลักๆ และเป็นพื้นฐานในการเริ่มต้นค้นหา keyword อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในงาน SEO หรือการพัฒนาเว็บไซต์

LSI Keyword คืออะไร

LSI Keyword หมายถึงคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวข้องกันกับ Seed keyword (คำหลัก) หรือคำที่เกี่ยวข้องกับหมวดหมู่หลักของเว็บไซต์หรือเนื้อหา คำนี้มาจากตัวย่อของ “Latent Semantic Indexing” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ในการทำ Search Engine Ranking ในปัจจุบัน

LSI Keyword ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์หรือบทความได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกันที่มีความสัมพันธ์กับ Seed keyword และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา รวมถึงช่วยในการเพิ่มความนิยมในการค้นหา (SEO) โดยประสิทธิภาพ

ตัวอย่างของ LSI Keyword สำหรับ Seed keyword “ท่องเที่ยว” อาจจะเป็น “ที่พัก”, “สถานที่ท่องเที่ยว”, “ทัศนียภาพ”, “สิ่งที่ต้องทำ” เป็นต้น คำเหล่านี้เป็นคำที่มีความสัมพันธ์กับที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันและใช้ในการประมวลผลของ Search Engine ในการตัดสินใจในการจัดอันดับผลการค้นหา

ประเภท Keyword ตาม Buyer Intent มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

Keyword ตาม Buyer Intent มี 4 ประเภทหลัก คือ:

  1. Informational Keywords: เป็นคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้เพื่อหาข้อมูลหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง ๆ โดยไม่ได้มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ ตัวอย่างเช่น “วิธีลดน้ำหนัก”, “ความหมายของคำศัพท์”, “วิธีการทำอาหาร” เป็นต้น
  2. Navigational Keywords: เป็นคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้เพื่อหาเว็บไซต์หรือหน้าเว็บที่เขาต้องการในที่เฉพาะ ๆ เช่น “Facebook”, “Twitter”, “Amazon” เป็นต้น
  3. Commercial Keywords: เป็นคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่อยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจในการซื้อ คำเหล่านี้มีความน่าจะเป็นที่จะซื้อสินค้าหรือบริการ ตัวอย่างเช่น “รีวิว iPhone 13”, “โปรโมชั่นทีวี 40 นิ้ว” เป็นต้น
  4. Transactional Keywords: เป็นคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้เพื่อหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องการซื้อ คำเหล่านี้แสดงความตั้งใจที่จะทำการซื้อ ตัวอย่างเช่น “ซื้อ iPhone 13”, “สั่งซื้อทีวี 40 นิ้ว” เป็นต้น

แต่ละประเภทของ Keyword จะมีผลต่อเป้าหมายและการวางแผนในการทำโครงการตลาดและการติดอันดับในการค้นหา (SEO) ดังนั้นการเลือกใช้ Keyword ตาม Buyer Intent เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเนื้อหาและกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจหรือเว็บไซต์

ลักษณะของ Keyword ที่ดี  

  1. Relevant: Keyword ต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสิ่งที่เว็บไซต์มีเสนอ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ค้นหา
  2. High Search Volume: คือ Keyword ที่มีจำนวนผู้ค้นหาสูง ซึ่งหมายความว่ามีความน่าสนใจในตลาดหรือกลุ่มเป้าหมาย
  3. Low Competition: Keyword ควรมีความแข่งขันที่น้อย เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในผลการค้นหา
  4. Specific: คือ Keyword ที่มีความโดดเด่นและตัดสินใจให้เร็วขึ้น ให้เป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
  5. Long-Tail: Keyword ที่มีความยาวและโดดเด่น ช่วยเน้นเนื้อหาให้เป็นที่เกี่ยวข้องและมีความน่าสนใจ
  6. Conversion-Focused: Keyword ควรเป็นคำที่ช่วยส่งเสริมการแปลงผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้า หรือทำการกระทำที่ต้องการ
  7. Localized: Keyword ที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้งของธุรกิจหรือเนื้อที่ที่เสนอบริการ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจในพื้นที่ที่เป้าหมาย
  8. Evergreen: Keyword ที่คงความนิยมและความสำคัญตลอดเวลา ไม่ได้มีช่วงเวลาหรือฤดูกาลในการค้นหา
  9. Trending: Keyword ที่เป็นที่นิยมในขณะนั้น ช่วยให้เนื้อหาเป็นปัจจุบันและทันสมัย
  10. User Intent: Keyword ต้องตอบสนองความต้องการและความต้องการของผู้ค้นหา และให้ข้อมูลหรือเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา

การเลือก Keyword ที่ดีคือส่วนสำคัญในการเติบโตและความสำเร็จของเว็บไซต์หรือธุรกิจที่ใช้การตลาดออนไลน์และการทำ SEO

ขั้นตอนการหา Keyword Research มีอะไรบ้าง

ขั้นตอนในการหา Keyword สำหรับการทำ Keyword Research มีดังนี้

  1. กำหนดเป้าหมายและกำหนดกลุ่มเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายในการทำ Keyword Research ว่าต้องการหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการใด ๆ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายของความต้องการเพื่อเป็นแนวทางในการค้นหา Keyword
  2. ใช้ Google Keyword Planner: ใช้เครื่องมือ Google Keyword Planner เพื่อค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการของคุณ โดยใส่คำค้นหาหรือ URL เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับข้อเสนอ Keyword
  3. ค้นหาบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง: ค้นหาบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการของคุณ เพื่อหา Keyword ที่มีความนิยมและเกี่ยวข้องกับตลาด
  4. ศึกษาคู่แข่ง: ศึกษา Keyword ที่ใช้โดยคู่แข่งในตลาดเดียวกัน และดู Keyword ที่มีความนิยมและสำคัญต่อตลาด
  5. ใช้เครื่องมือค้นหา Keyword อื่น ๆ: ใช้เครื่องมือค้นหา Keyword อื่น ๆ เช่น Ubersuggest, SEMrush, Moz Keyword Explorer เพื่อหา Keyword ที่เกี่ยวข้องและค้นหาคำค้นหาที่น้อยความแข็งแกร่ง
  6. กรอง Keyword ที่เหมาะสม: กรอง Keyword ที่ได้รับจากขั้นตอนก่อนหน้านี้เพื่อเลือก Keyword ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเนื้อหาหรือสินค้าบริการของคุณ
  7. ตรวจสอบความแข็งแกร่งของ Keyword: ใช้เครื่องมือ Keyword Difficulty เพื่อตรวจสอบความแข็งแกร่งของ Keyword ที่เลือก และเลือก Keyword ที่มีความแข็งแกร่งที่เหมาะสมในการแข่งขันในตลาด
  8. ทำการเปรียบเทียบและเลือก Keyword: ทำการเปรียบเทียบ Keyword ที่เลือกและเลือก Keyword ที่ตรงกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการของคุณและมีความนิยมและความสำคัญต่อตลาด
  9. ใช้ Keyword ในเนื้อหาและการตั้งชื่อเนื้อหา: นำ Keyword ที่เลือกมาใช้ในการเขียนเนื้อหาและการตั้งชื่อเนื้อหาของคุณเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับคำค้นหาและเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในผลการค้นหา

ข้อควรระวังในการทำ Keyword Research

การทำ Keyword เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่การทำ Keyword ไม่ใช่เรื่องง่าย นักทำ SEO ควรระวังเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดหรือทำให้ผลการวิจัยไม่แม่นยำ ดังนี้

  1. ไม่ควรวิจัย Keyword ที่มีความสูงเกินไป

การวิจัย Keyword ที่มีความสูงเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สนใจเนื้อหาหรือสินค้าของคุณ นักทำ SEO ควรเลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและมีความน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งาน

  1. ระวังการเลือก Keyword ที่มีความแข่งขันสูง

การเลือก Keyword ที่มีความแข่งขันสูงอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่สามารถติดอันดับบนเครื่องมือค้นหาได้อย่างง่ายดาย นักทำ SEO ควรเลือกคำหลักที่มีความนิยมแต่ไม่มีความแข่งขันสูงเกินไป

  1. ต้องระวังการเลือก Keyword ที่มีความสำคัญต่อธุรกิจ

การเลือกคำหลักที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณอาจทำให้ผลการวิจัยไม่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ นักทำ SEO ควรเลือกคำหลักที่สอดคล้องกับธุรกิจและมีความสำคัญต่อผู้ใช้งาน

  1. ต้องระวังการเลือก Keyword ที่ไม่ตรงกับเนื้อหา

การเลือกคำหลักที่ไม่ตรงกับเนื้อหาอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สนใจเนื้อหาหรือสินค้าของคุณ นักทำ SEO ควรเลือกคำหลักที่สอดคล้องกับเนื้อหาและมีความน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งาน

การวิจัยคำหลักเป็นเรื่องสำคัญในการทำ SEO แต่นักทำ SEO ต้องระวังเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ใ

การวิเคราะห์ผลลัพธ์

หลังจากที่ได้ทำการค้นหา Keyword มาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการค้นหา Keyword เหล่านั้น เพื่อหา Keyword ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการเขียน และสามารถเพิ่มโอกาสในการเจอกับผู้ใช้งานได้มากขึ้น

การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการค้นหา Keyword มีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบจะมีข้อดีและข้อเสียของมันเอง ดังนั้น การเลือกใช้วิธีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการเขียนเป็นสิ่งสำคัญ

วิธีการวิเคราะห์ผลลัพธ์

วิธีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการค้นหา Keyword มีหลายวิธี แต่วิธีที่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากเครื่องมือ Google Keyword Planner โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. ใช้ Google Keyword Planner เพื่อใส่ Keyword ที่ต้องการวิเคราะห์ผลลัพธ์
  2. เลือกประเทศและภาษาที่ต้องการ
  3. ตั้งค่าการค้นหาตามเงื่อนไขต่างๆ เช่น ปริมาณการค้นหา ค่า CPC และอื่นๆ
  4. ดูผลลัพธ์ที่ได้รับจากการค้นหา ซึ่งจะแสดงปริมาณการค้นหา ค่า CPC และคำที่เกี่ยวข้อง

นอกจาก Google Keyword Planner แล้ว ยังมีเครื่องมืออื่นๆ เช่น SEMrush, Ahrefs และ Ubersuggest ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการค้นหา Keyword ด้วย

การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากเครื่องมือต่างๆ นั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถหา Keyword ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการเขียน และเพิ่มโอกาสในการเจอกับผู้ใช้งานได้มากข

การทำ Keyword Research สำหรับ SEO คืออะไร  

การทำ Keyword Research สำหรับ SEO คือกระบวนการในการค้นหาและวิเคราะห์ Keyword หรือคำค้นที่เป็นที่ค้นหามากที่สุดและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสิ่งที่เว็บไซต์ต้องการเสนอให้กับผู้ค้นหาบนเครื่องมือค้นหา เช่น Google โดยวัตถุประสงค์ของ Keyword Research คือหา Keyword ที่มีความนิยมและเป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำมาใช้ในการเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา และเพิ่มโอกาสในการเพิ่มความสำเร็จในการทำ SEO และการตลาดออนไลน์

สรุป

การทำ Keyword Research เป็นกระบวนการหาคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูล สินค้า บริการ และ คอนเทนต์ บนเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, Youtube และนำมาวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยจะทำ Keyword Research เพื่อใช้ตอบคำถามต่อไปนี้

  • คำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหามากที่สุดเมื่อต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
  • คำหรือวลีที่คู่แข่งใช้เพื่อโฆษณาสินค้าหรือบริการเดียวกัน
  • คำหรือวลีที่มีความสำคัญสำหรับธุรกิจเพื่อเพิ่มยอดขายหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์
  • คำหรือวลีที่อยู่ในกลุ่มคำเดียวกันและเป็นที่นิยมใช้บ่อยในการค้นหา

การทำ Keyword Research จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจออนไลน์ต้องทำเพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา และเพิ่มยอดขายหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจออนไลน์

Frequently Asked Questions

คำถามเกี่ยวกับ Keyword Research

Keyword Research คืออะไร? การทำ Keyword Research คือการสืบค้นและวิเคราะห์คำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหาบนเครื่องมือค้นหา เพื่อหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ โดยเป้าหมายของ Keyword Research คือการเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการแสดงผลของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา

Keyword Tool คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?

Keyword Tool เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ โดยมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ Keyword ที่มีการค้นหามากที่สุด รวมถึง Keyword ที่มีความสำคัญสูง และมีโอกาสที่จะเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้

Niche Keyword คืออะไร?

Niche Keyword คือ Keyword ที่เป็นคำหรือวลีที่เฉพาะเจาะจงในกลุ่มเฉพาะของผู้ใช้งาน เช่น สินค้า บริการ หรือกลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนกัน การใช้ Niche Keyword จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสแสดงผลในเครื่องมือค้นหาได้มากขึ้น

Google Keyword Planner คืออะไร?

Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำ Keyword Research โดยมีประโยชน์ในการหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ โดยมีข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหา ระดับความสำคัญ และคำแนะนำในการใช้ Keyword ในเนื้อหาของเว็บไซต์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Keyword ในภาษาไทย

Keyword คือคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานใช้เพื่อค้นหาหรือค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในเว็บค้นหา ในงาน SEO (Search Engine Optimization) หรือการจัดการเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูงในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น ในการเข้าหาเว็บไซต์ บล็อกโพสต์ หรือสินค้าที่ต้องการ ซึ่งคำหรือวลีเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเนื้อหาและการเปรียบเทียบความสำคัญของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา

การทำ Keyword Research เป็นขั้นตอนที่สำคัญและเป็นการวิเคราะห์คำหรือวลีที่ผู้ค้นหาใช้เมื่อต้องการค้นหาเนื้อหาหรือสิ่งที่ต้องการบนเว็บค้นหา นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องทำ Keyword Research สำหรับงาน SEO หรือการทำเว็บไซต์ โดยมีเหตุผลดังนี้

  1. ค้นหาคำหรือวลีที่เหมาะสม: การทำ Keyword Research ช่วยให้ค้นหาคำหรือวลีที่เหมาะสมที่สุดที่ผู้ค้นหาใช้ ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหาและมีโอกาสถูกเข้าใจและค้นหามากขึ้น
  2. เพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูง: การใช้ Keyword Research ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเลือกคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงในผลการค้นหา
  3. ปรับแต่งเนื้อหา: การทำ Keyword Research ช่วยให้คุณปรับแต่งเนื้อหาในเว็บไซต์ให้ตรงกับคำหรือวลีที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้ค้นหาเข้ามาบนเว็บไซต์และค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
  4. เพิ่มความน่าสนใจในเนื้อหา: การใช้ Keyword Research ช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและน่าสนใจให้กับผู้ค้นหา ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสได้รับความสนใจและเยี่ยมชมมากขึ้น
  5. ต่อยอดและปรับปรุง: การทำ Keyword Research เป็นการตรวจสอบความนิยมของคำหรือวลีที่คนใช้ในการค้นหา ซึ่งช่วยให้คุณต่อยอดและปรับปรุงเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณให้ตอบสนองความต้องการของผู้ค้นหาอย่างเหมาะสม
  6. การแข่งขันในตลาด: การทำ Keyword Research เป็นการตรวจสอบคำหรือวลีที่มีความนิยมและเกี่ยวข้องในตลาดของคุณ ซึ่งช่วยให้คุณมีความเข้าใจในตลาดและการแข่งขันที่ดีขึ้น
  7. ลดค่าใช้จ่าย: การทำ Keyword Research ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาและการตลาด โดยช่วยให้คุณเลือกคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์สำหรับเว็บไซต์ของคุณ

มีหลายเครื่องมือที่ช่วยในการทำ Keyword Research ที่สามารถใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ เช่น

  1. Google Keyword Planner: เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหาที่ใช้บ่อยบนเว็บค้นหาของ Google รวมถึงคำเสนอแนะที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรีและเหมาะสำหรับผู้ที่ใหม่เข้าสู่การทำ Keyword Research
  2. SEMrush: เป็นเครื่องมือชื่อดังที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหาที่ใช้บ่อยบนเว็บค้นหาต่างๆ รวมถึงคำเสนอแนะที่เกี่ยวข้อง และให้ข้อมูลการแข่งขันในตลาด
  3. Ahrefs: เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์คำค้นหาที่มีความนิยมและความเกี่ยวข้อง รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Backlinks และการแข่งขันในตลาด
  4. Moz Keyword Explorer: เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหาที่ใช้บ่อยและคำเสนอแนะที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวิเคราะห์คำค้นหาในเนื้อหาที่มีความนิยม
  5. KeywordTool.io: เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการค้นหาคำค้นหาที่มีความนิยมในเว็บค้นหาต่างๆ รวมถึงคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเหมาะสำหรับการทำ Keyword Research ในเครื่องมือฟรี
  6. Ubersuggest: เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหาที่มีความนิยมและคำเสนอแนะที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อมูลการแข่งขันในตลาด
  7. AnswerThePublic: เป็นเครื่องมือที่ช่วยค้นหาคำค้นหาที่มีความนิยมและคำเสนอแนะที่เกี่ยวข้องในรูปแบบแผนที่คำตอบ

เครื่องมือเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของเครื่องมือที่ช่วยในการทำ Keyword Research มีเครื่องมืออื่นๆ ที่ให้บริการอีกมากมาย ควรเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ

เพื่อหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถทำตามขั้นตอนดังนี้:

  1. วิเคราะห์ธุรกิจและตลาด: ศึกษาและวิเคราะห์ธุรกิจของคุณและตลาดที่คุณเป้าหมาย รู้จักกลุ่มเป้าหมายและความต้องการของลูกค้าของคุณ นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณให้เสมือนกับลูกค้าของคุณเพื่อหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
  2. วิเคราะห์คู่แข่ง: ศึกษาและวิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่งในตลาดเดียวกัน รู้จักคำค้นหาที่พวกเขาใช้และสำเนาที่มีประสิทธิภาพ นำเสนอความแตกต่างและคุณค่าเพิ่มที่คุณมีให้กับลูกค้า
  3. ใช้เครื่องมือ Keyword Research: ใช้เครื่องมือ Keyword Research เพื่อหาคำค้นหาที่มีความนิยมและคำเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ สามารถใช้ Google Keyword Planner, SEMrush, Ahrefs, Moz Keyword Explorer หรือเครื่องมืออื่นๆ ที่มีให้บริการ
  4. คำค้นหา Long-tail: ควรพิจารณาคำค้นหา Long-tail ซึ่งเป็นคำค้นหาที่ยาวกว่าและมีข้อความใกล้เคียงกับความต้องการของลูกค้า การใช้คำค้นหา Long-tail ช่วยในการเป้าหมายกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอนมากขึ้น
  5. ความนิยมและความน่าสนใจ: คำค้นหาที่มีความนิยมและความน่าสนใจจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาและดึงผู้ใช้งานมากขึ้น
  6. ความสอดคล้องกับเนื้อหา: ควรเลือก Keyword ที่สอดคล้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้ผู้ใช้งานเจอข้อมูลที่ต้องการและความพอใจ
  7. ทำการทดสอบและปรับปรุง: ทำการทดสอบ Keyword ที่ใช้ในเว็บไซต์ของคุณเพื่อดูผลลัพธ์และปรับปรุงตามผลการใช้งานของลูกค้า

การทำ Keyword Research เป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผน SEO และเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหาและเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว

ใช่, การใช้ Keyword มีผลต่อ SEO (Search Engine Optimization) อย่างมีนัยสำคัญ โดย Keyword เป็นคำหรือกลุ่มคำที่ผู้ใช้งานค้นหาในเครื่องมือค้นหา เช่น ใน Google หรือ Bing เพื่อหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของพวกเขา

การใช้ Keyword ในที่ที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องในเนื้อหาของเว็บไซต์ มีผลให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงในผลการค้นหา (SERP – Search Engine Result Page) ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งเป็นผลที่ทำให้เว็บไซต์ตามมากับการเพิ่มโอกาสในการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม และเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายหรือผู้ใช้งานใหม่

นอกจากนี้ Keyword ยังมีบทบาทในการเน้นเนื้อหาในเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจและความพึงพอใจที่สูงขึ้น

ดังนั้น การใช้ Keyword ให้ถูกต้องและเหมาะสมในเนื้อหาเว็บไซต์มีผลในการปรับแต่ง SEO และการเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในด้าน SEO และการเพิ่มยอดขายหรือผู้ใช้งานใหม่ในองค์กรหรือธุรกิจของคุณ

คำที่เหมาะสมสำหรับ Keyword คือคำหรือกลุ่มคำที่สอดคล้องกับเนื้อหาหรือหัวข้อของเว็บไซต์ และเป็นคำที่ผู้ใช้งานค้นหาเมื่อมีความต้องการหาข้อมูลหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ ในเครื่องมือค้นหา เช่น ใน Google หรือ Bing

คำที่เหมาะสมสำหรับ Keyword ควรเป็นคำที่:

  1. เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือหัวข้อของเว็บไซต์
  2. มีความนิยมและถูกค้นหาโดยผู้ใช้งาน
  3. ไม่มีความกำกวมหรือความสับสน
  4. อยู่ในรูปแบบที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ (ไม่ใช้วลีหรือประโยคที่ซ้ำซ้อนหรือไม่คงที่)
  5. เป็นคำที่สื่อความหมายหลากหลาย และครอบคลุมความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

การเลือกคำที่เหมาะสมสำหรับ Keyword มีความสำคัญในการประสบความสำเร็จใน SEO (Search Engine Optimization) เนื่องจาก Keyword จะส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา และช่วยให้เว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานที่มากยิ่งขึ้น

หากคุณกำลังต้องการหาคน รับทำ SEO แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร คุณสามารถปรึกษาได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แนะนำให้ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาและแผนการดำเนินงานที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ ทีมงานของเรามีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน SEO และจะเป็นอย่างยินดีที่จะช่วยเสริมสร้างออนไลน์ของธุรกิจคุณให้เติบโตและประสบความสำเร็จครับ

Arthit Eampa