Keyword Research คืออะไร
Keyword Research คือกระบวนการศึกษาและวิเคราะห์คำค้นหาที่ผู้ค้นหาใช้บ่อยๆ ในเครื่องมือค้นหา เพื่อหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีความนิยมในตลาด การวิเคราะห์คำค้นหาเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและใช้ข้อมูลนี้ในการสร้างเนื้อหาและกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและความสำเร็จของเว็บไซต์ การวิเคราะห์คำค้นหาเป็นขั้นตอนสำคัญในการเติบโตและความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์
การวิจัยคำหลักเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในการวิเคราะห์คำหลักที่เหมาะสม โดยเครื่องมือในการวิจัยคำหลักสามารถช่วยในการหาคำหลักที่เหมาะสมได้เช่น Google Keyword Planner, SEMrush, Ahrefs, หรือ Ubersuggest ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักทำ SEO นิยมใช้งานอย่างแพร่หลาย
ความสำคัญของ Keyword Research
- เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้าได้
- การพิจารณาความนิยมและแนวโน้ม: การวิเคราะห์คำค้นหาช่วยให้เราเข้าใจแนวโน้มและความนิยมของคำค้นหาในตลาด ซึ่งช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้เป็นไปตามแนวโน้มได้
- การแข่งขันในตลาด: ค้นหาคำค้นหาที่แข่งขันสูงช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงและโอกาสในตลาด และสามารถวางกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในตลาด
- การติดอันดับในเครื่องมือค้นหา: ค้นหาคำค้นหาที่เหมาะสมช่วยให้เราสามารถสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในเครื่องมือค้นหา
- ความสอดคล้องกับเนื้อหา: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เราสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และช่วยเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นๆ
- การตลาดที่มีประสิทธิภาพ: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์การตลาดให้เป็นไปตามตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดขายและความสำเร็จของธุรกิจ
- การติดอันดับในผลการค้นหา: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เราสามารถเติม SEO ให้กับเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับความต้องการของเครื่องมือค้นหาและสามารถติดอันดับใน
การทำความเข้าใจ Keyword
การทำความเข้าใจ Keyword เป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย Keyword เพราะเป็นการหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในการสร้างเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่บนหน้าแรกของเครื่องมือค้นหาได้ โดยการทำความเข้าใจคำหลักนั้น จะต้องดูว่าผู้ใช้งานค้นหาคำหรือวลีอะไรบ้าง และคำหรือวลีนั้นมีความสำคัญอย่างไร โดยการใช้เครื่องมือการวิจัยคำหลัก เช่น Google’s Keyword Planner จะช่วยให้การทำความเข้าใจคำหลักมีประสิทธิภาพมากขึ้น
กระบวนการวิจัย Keyword Research
การวิจัยKeyword เป็นกระบวนการที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการทำ SEO ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้ทำ SEO เข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้งานเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขาย และยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์
การวิเคราะห์ Keyword
การวิเคราะห์ Keyword เป็นกระบวนการที่ใช้สำหรับหาคำหลักที่เหมาะสมกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยการวิเคราะห์คำหลักจะต้องพิจารณาจากความสำคัญของคำ จำนวนการค้นหาของคำ ความแข็งแกร่งของคำ และความสอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์
การเลือก Keyword
การเลือก Keyword เป็นกระบวนการที่สำคัญในการทำ SEO เนื่องจากการเลือก Keyword ที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
การเลือก Keyword จะต้องพิจารณาจากความสอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ จำนวนการค้นหาของคำ และค่าต่างๆของ Keyword โดยคำหลักที่เลือกจะต้องสอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ และมีจำนวนการค้นหามากๆ โดยคำหลักที่เลือกจะต้องมีค่าต่างๆสูงๆ และสามารถแข่งขันกับคำหลักที่ใช้โดยเว็บไซต์อื่นๆ ได้
เครื่องมือในการวิจัย Keyword
การวิจัย Keyword เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับนักการตลาดที่ต้องการเพิ่มยอดขายผ่านเว็บไซต์ของตนเอง โดยเครื่องมือต่างๆในการวิจัยคำหลักจะช่วยให้นักการตลาดสามารถค้นหา Keyword ที่เหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือ Keyword Research ออนไลน์
เครื่องมือ Keyword Research ออนไลน์เป็นเครื่องมือที่ใช้งานผ่านเว็บไซต์ และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต นักการตลาดสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อหาคำหลักที่เหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการค้นหาคำค้นหลักที่มีความนิยมในขณะนั้น เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest, SEMrush, Ahrefs, และ Keyword Tool เป็นต้น
วิธีการประยุกต์ใช้ Keyword ในรูปแบบต่างๆ
การวิจัย Keyword เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงการทำ SEO ให้ดีขึ้น โดยมีวิธีการประยุกต์ใช้งานอย่างหลากหลาย ดังนี้
การค้นหา Keyword ที่เหมาะสม
เพื่อให้การวิจัยคำหลักมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ใช้งานควรค้นหาคำหลักที่เหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ โดยการใช้เครื่องมือ Keyword Planner จะช่วยให้สามารถประมวลผลคำหลักที่เหมาะสมและมีปริมาณค้นหาสูงได้ง่ายขึ้น
การวิเคราะห์ Keyword
หลังจากได้รับคำหลักที่เหมาะสมแล้ว ผู้ใช้งานต้องทำการวิเคราะห์คำหลักเพื่อตรวจสอบความสำคัญและความเหมาะสมของคำหลัก โดยการใช้เครื่องมือ Google Trends จะช่วยให้สามารถดูแนวโน้มการค้นหาคำหลักได้ง่ายขึ้น
Metrics ที่ใช้วิเคราะห์ Keyword
- Search Volume หมายถึงปริมาณการค้นหาคำหรือวลีในเครื่องมือค้นหา เช่น ตัวอย่างเช่น Google Keyword Planner หรือเครื่องมือค้นหาคำในอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่ผู้ค้นหาคำหรือวลีนั้นๆ ได้ใช้ในการค้นหาบนเครื่องมือค้นหานั้น ๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น คำหรือวลีที่มี Search Volume สูงแสดงถึงความนิยมและความเป็นที่ต้องการของคำหรือวลีนั้น ๆ ในการค้นหา การใช้ Search Volume เป็นข้อมูลที่สำคัญในกระบวนการ Keyword Research เพื่อตัดสินใจในการเลือกใช้คำหรือวลีที่จะนำเสนอในเว็บไซต์หรือบล็อกของเรา เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานและเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดการค้นหาและการเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น
- Cost Per Click (CPC) คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อครั้งที่มีการคลิกโฆษณาหรือลิงก์บนเว็บไซต์ โดยส่วนใหญ่ใช้เกี่ยวข้องกับโฆษณาที่เป็นรูปแบบ Pay-Per-Click (PPC) ซึ่งหมายความว่าค่าใช้จ่ายจะถูกเรียกเก็บเมื่อมีผู้คลิกโฆษณาหรือลิงก์นั้น ๆ เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์หรือหน้าที่โฆษณานั้น ๆ เมื่อผู้ลงโฆษณากำหนดราคา CPC ในแพลตฟอร์มการโฆษณา เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads ระบบจะใช้ค่า CPC เป็นตัวกำหนดค่าใช้จ่ายที่จะเรียกเก็บจากผู้ลงโฆษณา เมื่อมีผู้คลิกโฆษณานั้น ๆ โดยปริมาณ CPC อาจแตกต่างกันไปตามคำหรือวลีที่เป้าหมาย ระดับความแข็งแกร่งของคู่แข่ง รวมถึงความนิยมของคำหรือวลีนั้น ๆ ในการค้นหาหรือการใช้งานของผู้ใช้งาน การใช้ CPC เป็นรูปแบบของการโฆษณาที่ให้ผู้ลงโฆษณามีควบคู่กับปริมาณการคลิกที่เกิดขึ้นจริง ๆ บนโฆษณาของพวกเขา โดยความสำคัญของ CPC คือช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายโฆษณาได้ดีและวางแผนกลยุทธ์การโฆษณาให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่
- Keyword Difficulty หมายถึงระดับความยากในการแข่งขันในการค้นหาและอันดับในผลการค้นหาของคำหรือวลีบนเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, หรือ Yahoo ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าคำหรือวลีนั้นมีความยากที่จะติดอันดับในผลการค้นหาหรือไม่
ความยากของ Keyword จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณคำค้นหา (Search Volume) คือจำนวนครั้งที่คำหรือวลีนั้นถูกค้นหาบนเครื่องมือค้นหา ระดับความแข็งแกร่งของคู่แข่งที่ใช้ คำหรือวลีเดียวกันในการโฆษณาหรือเนื้อหา เช่น จำนวนเว็บไซต์ที่มีคำหรือวลีนั้นแสดงผลในผลการค้นหา เนื้อหาคุณภาพที่ใช้คำหรือวลีนั้นในเว็บไซต์ เป็นต้น
คำที่มี Keyword Difficulty สูงอาจจะเป็นคำที่มีปริมาณคำค้นหาสูง แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของคู่แข่งในการค้นหามาก ทำให้คำนั้นค่อนข้างยากที่จะติดอันดับในผลการค้นหา ในทางกลับกัน Keyword Difficulty ที่ต่ำก็หมายถึงคำหรือวลีที่ค่อนข้างง่ายในการติดอันดับในผลการค้นหา และมีโอกาสในการแสดงผลในหน้าแรกของเครื่องมือค้นหาในเวลาที่สั้น ๆ - Search Result หมายถึงผลลัพธ์ที่แสดงในหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, Yahoo หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ตามคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานใส่เข้ามาในช่องค้นหาของเครื่องมือค้นหานั้น ๆ
ผลการค้นหา (Search Result) จะประกอบด้วยเว็บไซต์หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำหรือวลีที่ถูกค้นหา ซึ่งเครื่องมือค้นหาจะแสดงผลการค้นหาเป็นลิสต์หรือหน้าเว็บที่แสดงเรื่องที่เกี่ยวข้องที่สุดตามคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหา
ผลการค้นหา (Search Result) จะเรียงลำดับตามความสอดคล้องกับการค้นหาของผู้ใช้งานโดยให้เนื้อหาหรือเว็บไซต์ที่มีความสอดคล้องสูงสุดแสดงอยู่บนหน้าแรกหรืออยู่ใกล้ตำแหน่งด้านบนของหน้าผลการค้นหา โดยเครื่องมือค้นหาจะใช้อัลกอริทึมหรือวิธีการที่ซับซ้อนในการตรวจสอบเนื้อหาและเว็บไซต์เพื่อกำหนดลำดับในผลการค้นหานั้น ๆ ที่เหมาะสมกับคำหรือวลีที่ถูกค้นหา
การจัดลำดับ Keyword
หลังจากได้รับคำหลักที่เหมาะสมและมีความสำคัญ ผู้ใช้งานต้องทำการจัดลำดับคำหลักตามความสำคัญ โดยการใช้เครื่องมือ Keyword Difficulty Tool จะช่วยให้สามารถตรวจสอบความยากง่ายของการจัดอันดับคำหลักได้ง่ายขึ้น
การวิจัยคำหลักเป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับการทำ SEO และสามารถประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลาย โดยผู้ใช้งานควรใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยให้การวิจัยคำหลักมีประสิทธิภาพสูงสุด
Keyword มีกี่ประเภท
- Short Tail Keywords: เป็นคำหรือวลีที่มีความยาวสั้นและมักถูกใช้เป็นการค้นหาที่เป็นลักษณะกว้าง ๆ เช่น “ร้านกาแฟ” หรือ “โรงเรียน”
- Long Tail Keywords: เป็นคำหรือวลีที่มีความยาวมากขึ้นและมักถูกใช้เพื่อค้นหาที่มีความตั้งใจในเรื่องที่กำหนดมากขึ้น เช่น “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” หรือ “โรงเรียนที่มีคณะกรรมการและโครงการศึกษาสำหรับเด็ก”
- Branded Keywords: เป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับชื่อแบรนด์หรือสินค้าเฉพาะที่เป็นของบริษัทหรือธุรกิจเฉพาะ เช่น “Apple iPhone” หรือ “Nike shoes”
- Product Keywords: เป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ผู้คนกำลังมองหาเพื่อการซื้อขาย เช่น “ราคา iPhone 13” หรือ “ร้านขายรองเท้า”
- Service Keywords: เป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับบริการที่ผู้คนกำลังมองหาเพื่อการให้บริการ เช่น “ทำเว็บไซต์ร้านค้า” หรือ “รับทำ SEO”
- Location Keywords: เป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับสถานที่หรือพื้นที่เฉพาะ เช่น “ร้านกาแฟในพัทยา” หรือ “โรงเรียนใกล้เคียง”
- Action Keywords: เป็นคำหรือวลีที่มีความตั้งใจในการกระทำหรือการเข้าชมเนื้อหาที่เซิร์ช เช่น “อ่าน” หรือ “ดูวิดีโอ”
Long tail Keyword คืออะไร
Long tail keyword คือคำค้นหาที่มีความยาวและมีความสัมพันธ์กับคำค้นหาหลักหรือคำค้นหาที่มีความนิยมมากขึ้น (head keyword) โดยลักษณะของ long tail keyword คือมีจำนวนคำมากกว่าและมีความสัมพันธ์กับความต้องการของผู้ค้นหาที่แนะนำให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เราต้องการเผยแพร่ในเว็บไซต์หรือบล็อกของเรา การใช้ long tail keyword มักเป็นทางเลือกที่ดีในการเน้นเนื้อหาที่มีความเฉพาะเจาะจงและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเข้าถึง และช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดการค้นหาและการเข้าชมเว็บไซต์ของเราเพิ่มขึ้น
Niche Keywords คืออะไร
Niche Keywords คือคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายหรือตลาดที่เฉพาะเจาะจงและมีขนาดเล็กกว่าคำหลัก (main keywords) หรือคำที่มีความกว้างขวางมากขึ้น โดย Niche Keywords มักถูกใช้เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เน้นความพิเศษหรือความสนใจเฉพาะ เช่น กลุ่มผู้คนที่มีความสนใจในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงนก กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในการออกกำลังกายเช่นการเล่นฟุตบอลหรือการออกกำลังกายแบบเฉพาะๆ
Niche Keywords มีความสำคัญในการทำ SEO เนื่องจากช่วยเสริมสร้างการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการเฉพาะ และเมื่อเนื้อหาในเว็บไซต์มีความสอดคล้องกับ Niche Keywords จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในผลการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นให้เกิดขึ้น ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสในการดึงผู้เข้าชมที่เป็นครอบครัว และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเดียวกัน
Seed keyword คืออะไร
Seed keyword คือคำหรือวลีที่เป็นต้นแบบหรือฐานในการค้นหาและใช้เป็นพื้นฐานในกระบวนการทำ Keyword Research คำนี้จะเป็นคำหลักหรือคำที่มีความกว้างของความหมาย และมีความสำคัญในหมวดหมู่หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกัน
Seed keyword มักถูกนำมาใช้เพื่อสร้างรายการคำหลักอื่น ๆ ในขั้นตอนของ Keyword Research และการพัฒนาเนื้อหา โดยจะนำคำนี้ไปค้นหาในเครื่องมือ Keyword Research เพื่อหาคำหลักหรือคำย่อย (long tail keywords) ที่เกี่ยวข้องและมีความนิยมในการค้นหา
ตัวอย่างของ Seed keyword คือ “ท่องเที่ยว”, “สุขภาพ”, “เสื้อผ้า”, “อาหาร” เป็นต้น คำเหล่านี้เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับหมวดหมู่หลักๆ และเป็นพื้นฐานในการเริ่มต้นค้นหา keyword อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในงาน SEO หรือการพัฒนาเว็บไซต์
LSI Keyword คืออะไร
LSI Keyword หมายถึงคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวข้องกันกับ Seed keyword (คำหลัก) หรือคำที่เกี่ยวข้องกับหมวดหมู่หลักของเว็บไซต์หรือเนื้อหา คำนี้มาจากตัวย่อของ “Latent Semantic Indexing” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ในการทำ Search Engine Ranking ในปัจจุบัน
LSI Keyword ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์หรือบทความได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกันที่มีความสัมพันธ์กับ Seed keyword และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา รวมถึงช่วยในการเพิ่มความนิยมในการค้นหา (SEO) โดยประสิทธิภาพ
ตัวอย่างของ LSI Keyword สำหรับ Seed keyword “ท่องเที่ยว” อาจจะเป็น “ที่พัก”, “สถานที่ท่องเที่ยว”, “ทัศนียภาพ”, “สิ่งที่ต้องทำ” เป็นต้น คำเหล่านี้เป็นคำที่มีความสัมพันธ์กับที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันและใช้ในการประมวลผลของ Search Engine ในการตัดสินใจในการจัดอันดับผลการค้นหา
ประเภท Keyword ตาม Buyer Intent มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
Keyword ตาม Buyer Intent มี 4 ประเภทหลัก คือ:
- Informational Keywords: เป็นคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้เพื่อหาข้อมูลหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง ๆ โดยไม่ได้มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการใด ๆ ตัวอย่างเช่น “วิธีลดน้ำหนัก”, “ความหมายของคำศัพท์”, “วิธีการทำอาหาร” เป็นต้น
- Navigational Keywords: เป็นคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้เพื่อหาเว็บไซต์หรือหน้าเว็บที่เขาต้องการในที่เฉพาะ ๆ เช่น “Facebook”, “Twitter”, “Amazon” เป็นต้น
- Commercial Keywords: เป็นคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่อยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจในการซื้อ คำเหล่านี้มีความน่าจะเป็นที่จะซื้อสินค้าหรือบริการ ตัวอย่างเช่น “รีวิว iPhone 13”, “โปรโมชั่นทีวี 40 นิ้ว” เป็นต้น
- Transactional Keywords: เป็นคำหลักที่ผู้ค้นหาใช้เพื่อหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ต้องการซื้อ คำเหล่านี้แสดงความตั้งใจที่จะทำการซื้อ ตัวอย่างเช่น “ซื้อ iPhone 13”, “สั่งซื้อทีวี 40 นิ้ว” เป็นต้น
แต่ละประเภทของ Keyword จะมีผลต่อเป้าหมายและการวางแผนในการทำโครงการตลาดและการติดอันดับในการค้นหา (SEO) ดังนั้นการเลือกใช้ Keyword ตาม Buyer Intent เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเนื้อหาและกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจหรือเว็บไซต์
ลักษณะของ Keyword ที่ดี
- Relevant: Keyword ต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสิ่งที่เว็บไซต์มีเสนอ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ค้นหา
- High Search Volume: คือ Keyword ที่มีจำนวนผู้ค้นหาสูง ซึ่งหมายความว่ามีความน่าสนใจในตลาดหรือกลุ่มเป้าหมาย
- Low Competition: Keyword ควรมีความแข่งขันที่น้อย เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในผลการค้นหา
- Specific: คือ Keyword ที่มีความโดดเด่นและตัดสินใจให้เร็วขึ้น ให้เป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
- Long-Tail: Keyword ที่มีความยาวและโดดเด่น ช่วยเน้นเนื้อหาให้เป็นที่เกี่ยวข้องและมีความน่าสนใจ
- Conversion-Focused: Keyword ควรเป็นคำที่ช่วยส่งเสริมการแปลงผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้า หรือทำการกระทำที่ต้องการ
- Localized: Keyword ที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้งของธุรกิจหรือเนื้อที่ที่เสนอบริการ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจในพื้นที่ที่เป้าหมาย
- Evergreen: Keyword ที่คงความนิยมและความสำคัญตลอดเวลา ไม่ได้มีช่วงเวลาหรือฤดูกาลในการค้นหา
- Trending: Keyword ที่เป็นที่นิยมในขณะนั้น ช่วยให้เนื้อหาเป็นปัจจุบันและทันสมัย
- User Intent: Keyword ต้องตอบสนองความต้องการและความต้องการของผู้ค้นหา และให้ข้อมูลหรือเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา
การเลือก Keyword ที่ดีคือส่วนสำคัญในการเติบโตและความสำเร็จของเว็บไซต์หรือธุรกิจที่ใช้การตลาดออนไลน์และการทำ SEO
ขั้นตอนการหา Keyword Research มีอะไรบ้าง
ขั้นตอนในการหา Keyword สำหรับการทำ Keyword Research มีดังนี้
- กำหนดเป้าหมายและกำหนดกลุ่มเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายในการทำ Keyword Research ว่าต้องการหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการใด ๆ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายของความต้องการเพื่อเป็นแนวทางในการค้นหา Keyword
- ใช้ Google Keyword Planner: ใช้เครื่องมือ Google Keyword Planner เพื่อค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการของคุณ โดยใส่คำค้นหาหรือ URL เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับข้อเสนอ Keyword
- ค้นหาบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง: ค้นหาบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการของคุณ เพื่อหา Keyword ที่มีความนิยมและเกี่ยวข้องกับตลาด
- ศึกษาคู่แข่ง: ศึกษา Keyword ที่ใช้โดยคู่แข่งในตลาดเดียวกัน และดู Keyword ที่มีความนิยมและสำคัญต่อตลาด
- ใช้เครื่องมือค้นหา Keyword อื่น ๆ: ใช้เครื่องมือค้นหา Keyword อื่น ๆ เช่น Ubersuggest, SEMrush, Moz Keyword Explorer เพื่อหา Keyword ที่เกี่ยวข้องและค้นหาคำค้นหาที่น้อยความแข็งแกร่ง
- กรอง Keyword ที่เหมาะสม: กรอง Keyword ที่ได้รับจากขั้นตอนก่อนหน้านี้เพื่อเลือก Keyword ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเนื้อหาหรือสินค้าบริการของคุณ
- ตรวจสอบความแข็งแกร่งของ Keyword: ใช้เครื่องมือ Keyword Difficulty เพื่อตรวจสอบความแข็งแกร่งของ Keyword ที่เลือก และเลือก Keyword ที่มีความแข็งแกร่งที่เหมาะสมในการแข่งขันในตลาด
- ทำการเปรียบเทียบและเลือก Keyword: ทำการเปรียบเทียบ Keyword ที่เลือกและเลือก Keyword ที่ตรงกับเนื้อหาหรือสินค้าบริการของคุณและมีความนิยมและความสำคัญต่อตลาด
- ใช้ Keyword ในเนื้อหาและการตั้งชื่อเนื้อหา: นำ Keyword ที่เลือกมาใช้ในการเขียนเนื้อหาและการตั้งชื่อเนื้อหาของคุณเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับคำค้นหาและเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในผลการค้นหา
ข้อควรระวังในการทำ Keyword Research
การทำ Keyword เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่การทำ Keyword ไม่ใช่เรื่องง่าย นักทำ SEO ควรระวังเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดหรือทำให้ผลการวิจัยไม่แม่นยำ ดังนี้
- ไม่ควรวิจัย Keyword ที่มีความสูงเกินไป
การวิจัย Keyword ที่มีความสูงเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สนใจเนื้อหาหรือสินค้าของคุณ นักทำ SEO ควรเลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและมีความน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งาน
- ระวังการเลือก Keyword ที่มีความแข่งขันสูง
การเลือก Keyword ที่มีความแข่งขันสูงอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่สามารถติดอันดับบนเครื่องมือค้นหาได้อย่างง่ายดาย นักทำ SEO ควรเลือกคำหลักที่มีความนิยมแต่ไม่มีความแข่งขันสูงเกินไป
- ต้องระวังการเลือก Keyword ที่มีความสำคัญต่อธุรกิจ
การเลือกคำหลักที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณอาจทำให้ผลการวิจัยไม่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ นักทำ SEO ควรเลือกคำหลักที่สอดคล้องกับธุรกิจและมีความสำคัญต่อผู้ใช้งาน
- ต้องระวังการเลือก Keyword ที่ไม่ตรงกับเนื้อหา
การเลือกคำหลักที่ไม่ตรงกับเนื้อหาอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สนใจเนื้อหาหรือสินค้าของคุณ นักทำ SEO ควรเลือกคำหลักที่สอดคล้องกับเนื้อหาและมีความน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งาน
การวิจัยคำหลักเป็นเรื่องสำคัญในการทำ SEO แต่นักทำ SEO ต้องระวังเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ใ
การวิเคราะห์ผลลัพธ์
หลังจากที่ได้ทำการค้นหา Keyword มาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการค้นหา Keyword เหล่านั้น เพื่อหา Keyword ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการเขียน และสามารถเพิ่มโอกาสในการเจอกับผู้ใช้งานได้มากขึ้น
การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการค้นหา Keyword มีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบจะมีข้อดีและข้อเสียของมันเอง ดังนั้น การเลือกใช้วิธีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการเขียนเป็นสิ่งสำคัญ
วิธีการวิเคราะห์ผลลัพธ์
วิธีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการค้นหา Keyword มีหลายวิธี แต่วิธีที่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากเครื่องมือ Google Keyword Planner โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ใช้ Google Keyword Planner เพื่อใส่ Keyword ที่ต้องการวิเคราะห์ผลลัพธ์
- เลือกประเทศและภาษาที่ต้องการ
- ตั้งค่าการค้นหาตามเงื่อนไขต่างๆ เช่น ปริมาณการค้นหา ค่า CPC และอื่นๆ
- ดูผลลัพธ์ที่ได้รับจากการค้นหา ซึ่งจะแสดงปริมาณการค้นหา ค่า CPC และคำที่เกี่ยวข้อง
นอกจาก Google Keyword Planner แล้ว ยังมีเครื่องมืออื่นๆ เช่น SEMrush, Ahrefs และ Ubersuggest ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการค้นหา Keyword ด้วย
การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากเครื่องมือต่างๆ นั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถหา Keyword ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการเขียน และเพิ่มโอกาสในการเจอกับผู้ใช้งานได้มากข
การทำ Keyword Research สำหรับ SEO คืออะไร
การทำ Keyword Research สำหรับ SEO คือกระบวนการในการค้นหาและวิเคราะห์ Keyword หรือคำค้นที่เป็นที่ค้นหามากที่สุดและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือสิ่งที่เว็บไซต์ต้องการเสนอให้กับผู้ค้นหาบนเครื่องมือค้นหา เช่น Google โดยวัตถุประสงค์ของ Keyword Research คือหา Keyword ที่มีความนิยมและเป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำมาใช้ในการเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา และเพิ่มโอกาสในการเพิ่มความสำเร็จในการทำ SEO และการตลาดออนไลน์
สรุป
การทำ Keyword Research เป็นกระบวนการหาคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูล สินค้า บริการ และ คอนเทนต์ บนเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing, Youtube และนำมาวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยจะทำ Keyword Research เพื่อใช้ตอบคำถามต่อไปนี้
- คำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหามากที่สุดเมื่อต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
- คำหรือวลีที่คู่แข่งใช้เพื่อโฆษณาสินค้าหรือบริการเดียวกัน
- คำหรือวลีที่มีความสำคัญสำหรับธุรกิจเพื่อเพิ่มยอดขายหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์
- คำหรือวลีที่อยู่ในกลุ่มคำเดียวกันและเป็นที่นิยมใช้บ่อยในการค้นหา
การทำ Keyword Research จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจออนไลน์ต้องทำเพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา และเพิ่มยอดขายหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจออนไลน์
Frequently Asked Questions
คำถามเกี่ยวกับ Keyword Research
Keyword Research คืออะไร? การทำ Keyword Research คือการสืบค้นและวิเคราะห์คำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหาบนเครื่องมือค้นหา เพื่อหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ โดยเป้าหมายของ Keyword Research คือการเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการแสดงผลของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา
Keyword Tool คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?
Keyword Tool เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ โดยมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ Keyword ที่มีการค้นหามากที่สุด รวมถึง Keyword ที่มีความสำคัญสูง และมีโอกาสที่จะเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้
Niche Keyword คืออะไร?
Niche Keyword คือ Keyword ที่เป็นคำหรือวลีที่เฉพาะเจาะจงในกลุ่มเฉพาะของผู้ใช้งาน เช่น สินค้า บริการ หรือกลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนกัน การใช้ Niche Keyword จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสแสดงผลในเครื่องมือค้นหาได้มากขึ้น
Google Keyword Planner คืออะไร?
Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำ Keyword Research โดยมีประโยชน์ในการหา Keyword ที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ โดยมีข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหา ระดับความสำคัญ และคำแนะนำในการใช้ Keyword ในเนื้อหาของเว็บไซต์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Keyword ในภาษาไทย
หากคุณกำลังต้องการหาคน รับทำ SEO แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร คุณสามารถปรึกษาได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แนะนำให้ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาและแผนการดำเนินงานที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ ทีมงานของเรามีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน SEO และจะเป็นอย่างยินดีที่จะช่วยเสริมสร้างออนไลน์ของธุรกิจคุณให้เติบโตและประสบความสำเร็จครับ
- วิธี ย้ายภาษาจาก qTranslate ไป WPML - สิงหาคม 15, 2024
- 10 หลักการออกแบบเว็บไซต์ ทำยังไงให้โดนใจผู้ใช้และ SEO - พฤษภาคม 5, 2024
- เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ด้วยการสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ - เมษายน 17, 2024