CTR คืออะไร ความหมายและการประยุกต์ใช้ในการตลาดออนไลน์

CTR คืออะไร ความหมายและการประยุกต์ใช้ในการตลาดออนไลน์

What-is-CTR
What-is-CTR : ขอบคุณภาพจาก https://www.wordstream.com

CTR หรือ Click-Through Rate เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการโฆษณาออนไลน์ที่คุณต้องรู้จัก โดย CTR หมายถึง อัตราการคลิกต่อจำนวนการแสดงโฆษณา หรือสัดส่วนของผู้ที่คลิกโฆษณาต่อจำนวนผู้ที่เห็นโฆษณา ซึ่งสามารถวัดได้จากการใช้โปรแกรมติดตามคลิกหรือ Google Analytics โดย CTR เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญต่อการวิเคราะห์ผลการโฆษณา

การคำนวณ CTR ง่ายมากเพียงแค่หารจำนวนคลิกโฆษณาด้วยจำนวนการแสดงโฆษณา แล้วคูณ 100 เพื่อหาสัดส่วนเป็นเปอร์เซ็นต์ สัดส่วน CTR ที่ดีคืออยู่ในช่วง 2-5% แต่สำหรับโฆษณาบนโซเชียลมีเดียอาจจะต่ำกว่านั้น

การเพิ่ม CTR สามารถทำได้โดยการใช้ข้อความโดดเด่น รูปภาพสวยงาม หรือการเลือกตำแหน่งแสดงโฆษณาที่ดี เช่น การเลือกตำแหน่งที่อยู่ในส่วนบนของเพจ หรือการใช้งานคำสำคัญที่เหมาะสมในการแสดงโฆษณา

Key Takeaways

  • CTR เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการโฆษณาออนไลน์
  • สัดส่วน CTR ที่ดีคืออยู่ในช่วง 2-5%
  • การเพิ่ม CTR สามารถทำได้โดยการใช้ข้อความโดดเด่น รูปภาพสวยงาม หรือการเลือกตำแหน่งแสดงโฆษณาที่ดี

CTR คืออะไร

CTR หรือ Click-Through Rate เป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดความสำเร็จของการโฆษณาออนไลน์ โดยวัดจากสัดส่วนของผู้ใช้งานที่คลิกโฆษณาต่อจำนวนการแสดงโฆษณา ซึ่งจะบอกว่าโฆษณาของเราน่าสนใจแค่ไหน หรือจะบอกได้ว่าโฆษณาของเราเข้ากับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่

นิยามของ CTR

CTR คือ อัตราส่วนของผู้ใช้งานที่คลิกโฆษณาต่อจำนวนการแสดงโฆษณา โดยสามารถคำนวณได้จากสูตร จำนวนคลิกโฆษณา / จำนวนการแสดงโฆษณา x 100% เช่น ถ้าโฆษณาแสดง 100 ครั้ง และมีผู้ใช้งานคลิกโฆษณา 5 ครั้ง จะได้ CTR = 5%

การคำนวณ CTR เป็นสิ่งสำคัญที่นักการตลาดออนไลน์ต้องทำเพื่อวัดผลการโฆษณา ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดสามารถปรับแต่งโครงการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะคำนวณ CTR ในแต่ละช่วงเวลา เช่น วัน สัปดาห์ หรือเดือน เพื่อวัดผลการโฆษณาในช่วงเวลานั้น ๆ

นักการตลาดออนไลน์ควรรู้จัก CTR เพราะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดผลการโฆษณา ซึ่งสามารถนำไปปรับปรุงโครงการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเปรียบเทียบ CTR ของโฆษณาที่แตกต่างกันจะช่วยให้นักการตลาดสามารถหาวิธีปรับปรุงเนื้อหาโฆษณาหรือวิธีการโฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ CTR

why CTR important
why CTR important : ขอบคุณภาพจาก https://www.wordstream.com

CTR หรือ Click Through Rate เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการทำโฆษณาออนไลน์ โดยวัดจากสัดส่วนของผู้เข้าชมที่คลิกโฆษณาต่อจำนวนการแสดงโฆษณา ค่า CTR สูงแสดงว่าโฆษณานั้นมีความน่าสนใจและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมได้ ในทางกลับกัน ถ้า CTR ต่ำ หมายความว่าโฆษณานั้นไม่น่าสนใจหรือไม่เข้ากับกลุ่มเป้าหมายของโฆษณา

การวัด CTR สามารถช่วยให้ผู้ทำโฆษณาได้ตรวจสอบและปรับปรุงแคมเปญโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในการทำโฆษณาออนไลน์ โดยผู้ทำโฆษณาสามารถดูและปรับปรุง CTR ได้โดยตรง โดยปรับปรุงเนื้อหาโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย หรือปรับปรุงการเลือกช่องทางโฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

นอกจากนี้ CTR ยังเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ส่งผลต่อ Ad Rank และ Quality Score ของการทำโฆษณาออนไลน์ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การทำ SEO ที่มุ่งเน้นการเพิ่มความน่าสนใจของเนื้อหาและการเพิ่มความสัมพันธ์กับผู้ใช้ ผลลัพธ์ของการปรับปรุง CTR สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงโฆษณาในตำแหน่งที่สูงขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาได้เช่นกัน

ดังนั้น การวัด CTR เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ทำโฆษณาต้องให้ความสำคัญ โดยใช้ CTR เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของแคมเปญโฆษณา และปรับปรุงโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เ

วิธีการคำนวณ CTR

CTR หรือ Click Through Rate เป็นอัตราส่วนระหว่างจำนวนครั้งที่ผู้เข้าชมคลิกโฆษณากับจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ หรือจำนวนครั้งที่ผู้เข้าชมคลิกโฆษณาต่อจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ โดย CTR จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของแคมเปญโฆษณา ซึ่งมีค่าสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับจำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับมากน้อยแค่ไหน

วิธีการคำนวณ CTR คือ หารจำนวนคลิกโฆษณาด้วยจำนวนการแสดงผลโฆษณา แล้วคูณด้วย 100 เพื่อหาเปอร์เซ็นต์ของ CTR ในแต่ละแคมเปญโฆษณา

ตัวอย่างเช่น หากมีโฆษณาปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ 100 ครั้ง และมีจำนวนคลิกโฆษณา 10 ครั้ง จะได้ CTR เท่ากับ (10 ÷ 100) x 100% = 10%

การคำนวณ CTR นี้สามารถใช้ได้ทั้งในแพลตฟอร์ม Google Ads และ Facebook Ads โดยสามารถดู CTR ของแต่ละโฆษณาได้ในหน้ารายงานการโฆษณา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการโฆษณาสามารถปรับปรุงแคมเปญโฆษณาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

สัดส่วน CTR ที่ดีคืออะไร

CTR หรือ Click-Through Rate เป็นอัตราส่วนระหว่างจำนวนครั้งที่ผู้เข้าชมคลิกที่โฆษณา ต่อจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการโฆษณา ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของโฆษณานั้นๆ และเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่นักการตลาดออนไลน์ควรรู้จัก

สัดส่วน CTR ที่ดีคืออะไร? คำตอบนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละแพลตฟอร์ม แต่โดยทั่วไปแล้ว CTR ที่ดีคืออยู่ระหว่าง 2-5% โดยเฉลี่ย แต่อย่างไรก็ตาม สัดส่วน CTR ที่ดีขึ้นก็จะทำให้โฆษณาของคุณได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น

สำหรับการโฆษณาใน Google Ads สัดส่วน CTR ที่ดีคืออยู่ระหว่าง 5-10% ซึ่งถือว่าสูงมาก ส่วนสำหรับการโฆษณาใน Facebook Ads สัดส่วน CTR ที่ดีคืออยู่ระหว่าง 1-2% ซึ่งถือว่าต่ำกว่า Google Ads แต่ก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ดี

นอกจากสัดส่วน CTR ที่ดีแล้ว นักการตลาดออนไลน์ยังควรใช้ Quality Score เป็นตัวชี้วัดสำคัญอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นการวัดคุณภาพของโฆษณา โดย Quality Score จะถูกคำนวณจาก CTR, relevance และ landing page experience ซึ่งสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพของโฆษณาให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

วิธีการเพิ่ม CTR

การเพิ่ม CTR จะช่วยให้โฆษณาของคุณได้รับการคลิกมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้าจริง ๆ ดังนั้น การเพิ่ม CTR นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการตลาดออนไลน์

นี่คือวิธีการเพิ่ม CTR ที่คุณสามารถใช้ได้:

  1. การเลือกคำสำคัญที่เหมาะสม – คำสำคัญที่เหมาะสมจะช่วยให้โฆษณาของคุณปรากฏในผลการค้นหาที่สอดคล้องกับเนื้อหาของโฆษณา ทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสคลิกโฆษณาของคุณมากขึ้น
  2. การเขียนข้อความโฆษณาที่น่าสนใจ – การเขียนข้อความโฆษณาที่น่าสนใจและเข้าใจง่ายจะช่วยให้ผู้ใช้งานมีโอกาสคลิกโฆษณาของคุณมากขึ้น
  3. การเลือกภาพที่น่าสนใจ – การเลือกภาพที่น่าสนใจและเหมาะสมกับเนื้อหาของโฆษณาจะช่วยให้ผู้ใช้งานมีโอกาสคลิกโฆษณาของคุณมากขึ้น
  4. การทดสอบและปรับปรุง – การทดสอบโฆษณาและปรับปรุงโฆษณาของคุณจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าโฆษณาของคุณทำงานอย่างไรและวิธีการปรับปรุงให้โฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  5. การใช้โฆษณาที่เป็นรูปแบบที่เหมาะสม – การเลือกโฆษณาที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มที่คุณใช้จะช่วยให้โฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  6. การเลือกและใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสม – การเลือกและใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับโฆษณาของคุณจะ

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ CTR

CTR หรือ Click Through Rate เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของแคมเปญโฆษณาในการดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่การเพิ่ม CTR ไม่ได้หมายความว่าแคมเปญโฆษณาของคุณจะสำเร็จทุกครั้ง เนื่องจากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ CTR ที่อาจทำให้ผลการโฆษณาไม่ดีตามที่คาดหวังไว้ ดังนี้

1. การคลิกโฆษณาโดยไม่ตั้งใจ

บางครั้งผู้เข้าชมเว็บไซต์อาจคลิกโฆษณาโดยไม่ตั้งใจหรือเพื่อป้องกันการคลิกโฆษณาที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาจทำให้เพิ่ม CTR ได้ แต่ไม่ส่งผลต่อการขายหรือความสำเร็จของแคมเปญโฆษณา

2. การแสดงโฆษณาในที่ไม่เหมาะสม

การแสดงโฆษณาในที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ไม่สนใจหรือไม่ต้องการคลิกโฆษณา ซึ่งจะลด CTR ลงได้

3. การแสดงโฆษณาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม

การแสดงโฆษณาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ไม่สนใจหรือไม่ต้องการคลิกโฆษณา ซึ่งจะลด CTR ลงได้

4. การแสดงโฆษณาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์

การแสดงโฆษณาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์อาจทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ไม่สนใจหรือไม่ต้องการคลิกโฆษณา ซึ่งจะลด CTR ลงได้

5. การแสดงโฆษณาที่ไม่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

การแสดงโฆษณาที่ไม่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายอาจทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ไม

การวิเคราะห์ CTR

CTR หรือ Click Through Rate คืออัตราการคลิกโฆษณาที่แสดงให้เห็น โดยวัดจากสัดส่วนของคนที่คลิกต่อจำนวนของคนที่เห็นโฆษณา การวิเคราะห์ CTR เป็นการวิเคราะห์ความสำเร็จของแคมเปญโฆษณา โดย CTR สูงแสดงว่ามีจำนวนคนที่คลิกโฆษณาเยอะ และโฆษณานั้นมีประสิทธิภาพ ส่วน CTR ต่ำแสดงว่าโฆษณานั้นไม่น่าสนใจหรือไม่ได้ถูกแสดงให้กับกลุ่มเป้าหมายในที่นั้นอย่างเหมาะสม

การวิเคราะห์ CTR มีวิธีการหลายวิธี โดยสามารถวิเคราะห์ได้จากข้อมูลเชิงสถิติที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญโฆษณา ดังนี้

  • การวิเคราะห์ CTR โดยเปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เช่น วิเคราะห์ CTR ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เช่น วันหยุดสุดสัปดาห์ หรือช่วงเวลากลางคืน
  • การวิเคราะห์ CTR โดยเปรียบเทียบกับโฆษณาที่แตกต่างกัน เช่น วิเคราะห์ CTR ของโฆษณาที่แสดงใน Google กับ Facebook
  • การวิเคราะห์ CTR โดยเปรียบเทียบกับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น วิเคราะห์ CTR ของโฆษณาที่แสดงให้กับกลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติ กับกลุ่มเป้าหมายชาวไทย

การวิเคราะห์ CTR เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงแคมเปญโฆษณา โดยใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์ CTR เพื่อปรับปรุงโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายของธุรกิจของคุณ

CTR ในการโฆษณาออนไลน์

CTR หรือ Click-Through Rate คือ อัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดประสิทธิภาพของการโฆษณาออนไลน์ โดยวัดจากสัดส่วนของคนที่คลิกต่อจำนวนของคนที่เห็นโฆษณา โดยทั่วไปแล้ว CTR สูงแสดงว่าโฆษณานั้นมีความน่าสนใจและมีผู้คลิกเข้าไปดูเนื้อหาเพิ่มเติม

การวัด CTR สามารถทำได้ง่ายๆ โดยใช้โปรแกรม Google Ads หรือโปรแกรมอื่นๆ ที่สามารถวัดผลการโฆษณาได้ โดยสามารถดูได้ในส่วนของรายงานการโฆษณา โดยมีการแสดงผลเป็นตารางหรือกราฟที่แสดงผล CTR ของโฆษณานั้นๆ

การเพิ่ม CTR สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาโฆษณา เปลี่ยนแปลงภาพประกอบ หรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งการแสดงผลโฆษณา เช่น การแสดงผลบนหน้าแรกของเว็บไซต์ การแสดงผลบนหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา หรือการแสดงผลบนโซเชียลมีเดีย เป็นต้น

การคำนวณ CTR สามารถทำได้โดยการหารจำนวนคลิกโฆษณาด้วยจำนวนการแสดงผลโฆษณา แล้วคูณด้วย 100 เพื่อเป็นเปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น ถ้าโฆษณาแสดงผลไปทั้งหมด 100 ครั้ง และมีผู้คลิกโฆษณาไปดูเพิ่มเติมจำนวน 10 ครั้ง ก็จะได้ CTR คือ 10%

CTR ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

  1. ความสนใจและความน่าสนใจ: CTR ที่ดีสะท้อนถึงความน่าสนใจและความสนใจของผู้ใช้ที่คลิกเข้ามา ส่งไปยังเนื้อหาหรือโฆษณาของคุณ
  2. ข้อความโดดเด่น: คำโปรโมทหรือข้อความที่โดดเด่นในการโฆษณาจะช่วยเพิ่ม CTR เนื่องจากมีการดึงดูดความสนใจ
  3. คลิกเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม: CTR สูงอาจแสดงถึงความต้องการของผู้ใช้ที่อยากดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาหรือสินค้า
  4. ความน่าเชื่อถือ: โฆษณาหรือเนื้อหาที่มีค่าและน่าเชื่อถือมักจะมี CTR สูง เพราะผู้ใช้มักมีความเชื่อมั่นในการคลิก
  5. ที่ตั้ง: ตำแหน่งที่โฆษณาแสดงบนหน้า SERP สามารถมีผลต่อ CTR ด้วย โฆษณาที่แสดงตำแหน่งด้านบนมักมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับคลิก
  6. ภาพประกอบ: การใช้รูปภาพหรืออินโฟกราฟิกเพื่อดึงดูดความสนใจสามารถช่วยเพิ่ม CTR
  7. ที่มาของคำค้นหา: การแสดงโฆษณาหรือเนื้อหาที่สอดคล้องกับคำค้นหาของผู้ใช้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิก
  8. คุณภาพของเนื้อหา: เนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์มักจะมี CTR สูง เพราะผู้ใช้มีความสนใจและความต้องการ
  9. การตอบสนองทันเวลา: เนื้อหาหรือโฆษณาที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในขณะนั้นมักจะมี CTR สูง
  10. การประสานสีและดีไซน์: การประสานสีและดีไซน์ที่น่าสนใจและมีคุณค่าสามารถช่วยเพิ่ม CTR ด้วยการดึงดูดสายตา

CTR ที่ดีส่งผลให้มีโอกาสเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือการแปลงผู้ใช้เป็นลูกค้า และมีผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของคุณ

CTR (Click Through Rate) สำคัญกับธุรกิจอย่างไร

  1. วัดประสิทธิภาพของโฆษณา: CTR ช่วยวัดว่าโฆษณาหรือเนื้อหาของคุณมีความน่าสนใจและเป็นไปได้ต่อผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน สูง CTR อาจแสดงถึงความเป็นไปได้ในการดึงดูดผู้เข้าชมหรือลูกค้าเพิ่มขึ้น
  2. เพิ่มการคลิกเข้าชมเว็บไซต์: CTR ส่งผลให้มีจำนวนผู้คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น นั่นเป็นโอกาสในการเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการแก่ลูกค้า
  3. การปรับแต่งและปรับปรุง: การตรวจสอบ CTR ช่วยให้คุณรับรู้ถึงวิธีการทำโฆษณาหรือเนื้อหาที่ดีและไม่ดี เพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  4. ความน่าเชื่อถือ: CTR ส่งสัญญาณให้กับผู้คนว่าเนื้อหาหรือโฆษณาของคุณมีคุณค่าและน่าเชื่อถือ ถ้า CTR สูง คนจะมักมีความเชื่อมั่นในการคลิกและเข้าชม
  5. ความสำเร็จในการขาย: CTR ส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้าจริงๆ โดยมีการซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
  6. เปรียบเทียบกับคู่แข่ง: การเปรียบเทียบ CTR กับคู่แข่งในอุตสาหกรรมช่วยให้คุณมีภาพรวมเกี่ยวกับการดึงดูดลูกค้าและการแข่งขัน
  7. ปรับแผนการตลาด: ข้อมูล CTR ช่วยให้คุณปรับแผนการตลาดและกลยุทธ์โฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
  8. การประเมินประสิทธิภาพ SEO: ในการค้นหาต่างๆ, CTR สามารถบ่งบอกถึงความสำเร็จของการเพิ่มอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา
  9. วัดผลการทดลอง: CTR ใช้ในการทดลองโฆษณาหรือหัวข้อเพื่อวัดผลและความสำเร็จของกลยุทธ์ต่างๆ
  10. ความต่อเนื่อง: CTR มีความสำคัญในการคงไว้ในจำนวนผู้คลิกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในทัศนคติของลูกค้าและผู้เข้าชม

ผลกระทบของ CTR สูงและน้อยสามารถช่วยให้คุณทราบถึงความน่าสนใจและประสิทธิภาพของเนื้อหาหรือโฆษณาของคุณต่อผู้ใช้และองค์กรที่เป้าหมาย

CTR ส่งผลเสียต่อธุรกิจในกรณีใด 

  1. คลิกไม่เป็นมิตร (Click Fraud): ถ้ามีการโกงหรือปลอมแปลงการคลิกบนโฆษณาเพื่อเพิ่ม CTR โดยไม่มีผู้ใช้จริงๆ อาจส่งผลให้คุณต้องจ่ายเงินสำหรับคลิกที่ไม่ได้มีคุณค่าจริงๆ
  2. โฆษณาไม่ตรงกับเนื้อหา: ถ้าเนื้อหาหรือโฆษณาไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังจากการคลิก อาจทำให้ผู้ใช้กดย้อนกลับเบราว์เซอร์และนำไปสู่การย่อยเครียดเพิ่มขึ้น
  3. คลิกออกเร็วมาก (High Bounce Rate): ถ้าเนื้อหาหรือเว็บไซต์ไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้หลังจากคลิก เว็บไซต์อาจมี Bounce Rate สูง หมายความว่าผู้ใช้คลิกเข้ามาแล้วออกจากเว็บไซต์เร็วมาก
  4. ความสนใจไม่เกิดขึ้น: ถ้า CTR สูงแต่ความสนใจและการแปลงข้อมูลไม่เกิดขึ้น อาจแสดงถึงว่าผู้คลิกไม่ได้มีความสนใจหรือไม่สนใจสิ่งที่คุณเสนอ
  5. ทำให้กำไรต่ำ: ถ้าโฆษณาไม่สามารถแปลงผู้ใช้เป็นลูกค้าได้ อาจทำให้ต้นทุนการโฆษณาสูงกว่ากำไรที่เกิดขึ้น
  6. อิทธิพลต่อการคัดค้านโฆษณา: CTR สูงอาจทำให้มีการแสดงความคิดเห็นลบหรือการคัดค้านโฆษณามากขึ้น เนื่องจากผู้ใช้อาจไม่พึงพอใจกับโฆษณาที่ถูกแสดง
  7. เสียเวลาและแรงงาน: ถ้า CTR สูงแต่เนื้อหาหรือสินค้าที่โฆษณาไม่ได้มีคุณค่าหรือไม่ตอบสนองต่อความต้องการจริง ๆ อาจทำให้คุณเสียเวลาและแรงงานในการดูแลและจัดการกับคลิกที่ไม่เป็นประโยชน์
  8. ทำให้โฆษณาหายไปหรือถูกห้าม: CTR ที่ต่ำเกินไปอาจทำให้แพลตฟอร์มโฆษณาเริ่มหรือเลือกที่จะไม่แสดงโฆษณาของคุณอีกเนื่องจากไม่ได้มีผลในการกดคลิกที่ดี
  9. การพิสูจน์ให้เห็นถึงค่าครั้งเดียว: CTR สูงอาจแสดงถึงผลกระทบที่ควรเห็นได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่มีการแปลงและค่าที่สำคัญอื่น ๆ เช่น Conversion Rate ที่ดี อาจส่งผลให้คุณเพิ่มค่าการโฆษณาแต่ละครั้ง
  10. ขาดการเชื่อมโยงกับเนื้อหาหลังคลิก: ถ้าโฆษณาสร้างความสนใจแต่ไม่มีการเชื่อมโยงเข้ากับเนื้อหาหรือสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาจทำให้ผู้ใช้คลิกกลับออกไปและไม่ทำการแปลง

Click-Through Rates แตกต่างจาก Conversion Rate อย่างไร 

Click-Through Rate (CTR) และ Conversion Rate (CR) คือสองค่าที่ใช้วัดผลของแคมเปญการตลาดออนไลน์ แต่มีความแตกต่างกันดังนี้

  1. Click-Through Rate (CTR): CTR หมายถึง อัตราส่วนของผู้คลิกกดเข้ามาที่โฆษณาหรือเนื้อหาในเว็บไซต์เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ที่เห็นโฆษณาหรือเนื้อหานั้น ๆ นั่นหมายความว่า CTR คำนวณจากการหาผลรวมของจำนวนคลิกแล้วนำมาหารด้วยจำนวนแสดงโฆษณาหรือเนื้อหาทั้งหมด มันช่วยให้คุณเข้าใจว่าโฆษณาหรือเนื้อหาของคุณมีประสิทธิภาพต่อผู้ใช้เพียงใดในการดึงดู โดย CTR ไม่ได้วัดการแปลงหรือการซื้อสินค้า แต่เป็นการวัดความสนใจในเนื้อหาหรือโฆษณาของคุณเท่านั้น
  2. Conversion Rate (CR): Conversion Rate คือสัดส่วนของจำนวนผู้ที่ทำการแปลงเป็นลูกค้าจริงๆ และทำการกระทำที่คุณต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียน เป็นต้น หาก CTR วัดความสนใจที่เนื้อหาหรือโฆษณา แล้ว CR วัดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพจากความสนใจนั้นๆ โดยการหาผลรวมของจำนวนการแปลงและนำมาหารด้วยจำนวนผู้ที่ทำการคลิกหรือเข้าสู่เนื้อหาหรือโฆษณานั้น

ดังนั้น CTR และ CR คือสองค่าที่สามารถวัดผลการโฆษณาและการตลาดได้ โดยแตกต่างกันในความมุ่งหวังของการวัด และแตกต่างกันในวิธีคำนวณและวัดผลด้วย

การใช้ CTR ในการปรับปรุง SEO

CTR หรือ Click-Through Rate เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ เนื่องจาก CTR มีผลต่อการแสดงผลในหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google โดยตรง หาก CTR ของเว็บไซต์สูง จะทำให้เว็บไซต์นั้นอยู่ในอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการเข้าชมจากผู้ใช้งานอย่างมากขึ้น

การปรับปรุง CTR สามารถทำได้โดยการเขียน Title และ Meta Description ที่น่าสนใจและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน โดย Title ควรสื่อถึงเนื้อหาในเว็บไซต์อย่างชัดเจนและน่าสนใจ ส่วน Meta Description ควรเขียนเป็นข้อความที่สร้างความตื่นเต้นและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ การใช้ Schema Markup สามารถช่วยเพิ่ม CTR ของเว็บไซต์ได้อีกด้วย โดย Schema Markup เป็นรูปแบบของข้อมูลที่ใช้ในการเพิ่มความเข้าใจในเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์อีกด้วย

หากเว็บไซต์ของคุณต้องการปรับปรุง CTR ให้ดีขึ้น คุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Search Console เพื่อวิเคราะห์และตรวจสอบ CTR ของเว็บไซต์ และปรับปรุงการเขียน Title และ Meta Description ให้เหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับการคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณอย่างมากขึ้น

สรุป

CTR หรือ Click Through Rate เป็นตัวชี้วัดที่บอกว่าโฆษณาแต่ละชิ้นมีคนคลิกมากหรือน้อยแค่ไหน โดยคำนวณจากอัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกกับจำนวนการแสดงโฆษณาหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญสูงสำหรับผู้ที่ทำการตลาดออนไลน์ เพราะจะช่วยให้สามารถปรับปรุงโฆษณาหรือเนื้อหาให้เหมาะสมมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายได้

การคำนวณ CTR นั้นง่ายมาก โดยใช้สูตร จำนวนคลิก / จำนวนการแสดง x 100% แล้วนำผลลัพธ์ไปแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น หากโฆษณาแสดงไป 100 ครั้ง และมีคนคลิกโฆษณา 5 คน จะได้ CTR = 5%

การปรับปรุง CTR สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหรือโครงสร้างของเว็บไซต์ การเปลี่ยนแปลงโฆษณา หรือการเปลี่ยนแปลงกลุ่มเป้าหมายของการตลาด อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะต้องพิจารณาให้ดีว่าจะสามารถเพิ่ม CTR ได้จริงหรือไม่ และจะต้องไม่ทำให้ผลกระทบต่อยอดขายหรือภาพลักษณ์ของแบรนด์

ในการดูแล CTR ควรทำการตรวจสอบและวิเคราะห์เป็นประจำ เพื่อทำการปรับปรุงโฆษณาหรือเนื้อหาให้เหมาะสมและเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย

CTR คืออะไร?

CTR หรือ Click-Through Rate คือ อัตราส่วนการคลิกโฆษณาต่อจำนวนการแสดงโฆษณา โดยวัดจากสัดส่วนของคนที่คลิกต่อจำนวนของคนที่เห็นโฆษณา ซึ่งเป็นตัววัดประสิทธิภาพของการโฆษณาว่ามีความสำเร็จแค่ไหนในการดึงดูดผู้ชม

CTR คิดยังไง?

CTR คิดโดยการหารจำนวนคลิกโฆษณาด้วยจำนวนการแสดงโฆษณา แล้วนำผลลัพธ์คูณด้วย 100 เพื่อแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์ สูตรคำนวณ CTR คือ (Click/Impression)*100 โดย Click คือจำนวนคลิกโฆษณา และ Impression คือจำนวนการแสดงโฆษณา

CTR tiktok คืออะไร?

CTR ของโฆษณา TikTok คืออัตราส่วนของการคลิกโฆษณาต่อจำนวนการแสดงโฆษณาบนแอปพลิเคชัน TikTok โดยสามารถดู CTR ได้ในแพลตฟอร์มโฆษณาของ TikTok Ads Manager โดย CTR สูงแสดงถึงโฆษณามีประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้ชม

Click-Through Rate คือ?

Click-Through Rate คืออัตราส่วนของการคลิกโฆษณาต่อจำนวนการแสดงโฆษณา ซึ่งใช้วัดประสิทธิภาพของการโฆษณาว่ามีความสำเร็จแค่ไหนในการดึงดูดผู้ชม โดยสามารถคำนวณได้ตามสูตร (Click/Impression)*100

CTR facebook เท่าไหร่ถึงจะดี?

CTR ของโฆษณา Facebook ที่ถือว่าดีคืออยู่ในช่วง 1-2% แต่อย่างไรก็ตาม การวัดความสำเร็จของโฆษณาไม่ได้ขึ้นอยู่กับ CTR เพียงอย่างเดียว ยังมีตัวแปรอื่นๆ เช่น CPC, Conversion Rate, ROAS ซึ่งต้องพิจารณาร่วมกันเพื่อวัดประสิทธิภาพของการโฆษณา

CTR สูงดีไหม?

CTR สูงหมายความว่าโฆษณาของคุณได้รับความสนใจจากผู้ชมมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เป็นหน่วยวัดที่เพียงพอเท่านั้น การเพิ่ม CTR อาจช่วยให้โฆษณาของคุณได้รับการคลิกมากขึ้น แต่ถ้าหากผู้คนที่คลิกโฆษณาของคุณไม่สนใจสินค้าหรือบริการของคุณ ก็จะไม่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในยอดขายของคุณ ดังนั้น การเพิ่ม CTR ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้กำไรมากขึ้นเสมอไป เพราะยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของโฆษณาและสินค้าของคุณด้วย

ดังนั้น การเพิ่ม CTR ยังไม่เพียงพอเท่านั้น คุณยังต้องใช้กลยุทธ์การตลาดอื่นๆ เพื่อเพิ่มยอดขายของคุณ อย่างไรก็ตาม การเพิ่ม CTR ยังคงเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดประสิทธิภาพของโฆษณาของคุณ

อย่างไรก็ตาม อัตราคลิกผ่าน (CTR) ไม่เพียงพอเพื่อวัดประสิทธิภาพของโฆษณาของคุณ คุณยังต้องใช้ตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น อัตราการแปลงขาย และกำไรสุทธิ เพื่อวัดว่าโฆษณาของคุณสามารถส่งผลต่อธุรกิจของคุณได้หรือไม่

ดังนั้น การเพิ่ม CTR ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญในการตลาดออนไลน์ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เพียงพอเพื่อวัดประสิทธิภาพของโฆษณาของคุณ คุณต้องใช้ตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อวัดประสิทธิภาพของโฆษณาของคุณอย่างเต็มรูปแบบ

หากคุณกำลังต้องการหาคน รับทำ SEO แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร คุณสามารถปรึกษาได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แนะนำให้ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาและแผนการดำเนินงานที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ ทีมงานของเรามีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน SEO และจะเป็นอย่างยินดีที่จะช่วยเสริมสร้างออนไลน์ของธุรกิจคุณให้เติบโตและประสบความสำเร็จครับ

อ้างอิงจาก : https://www.wordstream.com/

Arthit Eampa